วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

 

โขน

เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย การแสดงประเภทหนึ่งที่ใช้ท่ารำตามแบบละครใน แตกต่างเพียงท่ารำที่มีการเพิ่มตัวแสดง เปลี่ยนทำนองเพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่องไม่ให้เหมือนกับละคร แสดงเป็นเรื่องราวโดยลำดับก่อนหลังเหมือนละครทุกประการ ซึ่งไม่เรียกการแสดงเหล่านี้ว่าละครแต่เรียกว่าโขนแทน มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานจดหมายเหตุลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการกล่าวถึงการแสดงโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทาง ประกอบกับเสียงซอและเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ผู้แสดงจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตนเองและถืออาวุธ


ประวัติของโขน




















โขนจัดเป็นนาฏกรรมที่มีความเป็นศิลปะเฉพาะของตนเอง ไม่ปรากฏชัดแน่นอนว่าคำว่า "โขน" ปรากฏขึ้นในสมัยใด แต่มีการเอ่ยถึงในวรรณคดีไทยเรื่องลิลิตพระลอที่กล่าวถึงโขนในงานแสดงมหรสพ ระหว่างงานพระศพของพระลอ พระเพื่อนและพระแพงว่า "ขยายโรงโขนโรงรำ ทำระทาราวเทียน"
ในสมัยของสมเด็จพระนาราย์มหาราช ได้มีการกล่าวถึงโขนโดยลาลูแบร์ เอาไว้ว่า "โขนนั้น เป็นการร่ายรำเข้า ๆ ออก ๆ หลายคำรบ ตามจังหวะซอและเครื่องดนตรีอย่างอื่นอีก ผู้แสดงนั้นสวมหน้ากาก (หัวโขน) และถืออาวุธ แสดงบทหนักไปในทางสู้รบกันมากกว่าจะเป็นการร่ายรำ และมาตรว่าการแสดงส่วนใหญ่จะหนักไปในทางโลดเต้นเผ่นโผนโจนทะยาน และวางท่าอย่างเกินสมควรแล้ว นาน ๆ ก็จะหยุดเจรจาออกมาสักคำสองคำ หน้ากาก (หัวโขน) ส่วนใหญ่นั้นน่าเกลียด เป็นหน้าสัตว์ที่มีรูปพรรณวิตถาร (ลิง) หรือไม่เป็นหน้าปีศาจ (ยักษ์) " ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นต่อมหรสพในอดีตของชาวไทยในสายตาของชาวต่างประเทศ
การแสดงโขนโดยทั่วไปนิยมแสดงเรื่องรามยณะหรือรามเกียรติ์ ในอดีตกรมศิลปากรเคยจัดแสดงเรื่องอุณรุฑ แต่ไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับการแสดงเรื่องรามเกียรติ์มีหลายสำนวน ทั้งที่มีการประพันธ์ขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะบทประพันธ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ นิยมแสดงตามสำนวนของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่กรมศิลปากรได้ปรับปรุงเป็นชุดเป็นตอนสำหรับแสดงเป็นโขนฉาก ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก็เคยทรงพระราชนิพนธ์บทร้องและบทพากย์ไว้ถึง 6 ชุด ได้แก่ ชุดนางสีดาหาย ชุดเผากรุงลงกา ชุดพิเภกถูกขับ ชุดจองถนน ชุดประเดิมศึกลงกาและชุดนาคบาศ
แต่เดิมนั้นการแสดงโขนจะไม่มีการสร้างฉากประกอบการแสดงตามท้องเรื่อง การดำเนินเรื่องราวต่าง ๆ เป็นแบบจินตนาการถึงฉากหรือสถานที่ในเรื่องราวเอง การจัดฉากในการแสดงโขนเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยที่ทรงคิดสร้างฉากประกอบการแสดงโขนบนเวทีขึ้น คล้ายกับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงคิดขึ้น


ประเภทของโขน


โขนเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มักนิยมแสดงเป็นมหกรรมบูชาเจ้านายชั้นสูงเช่น แสดงในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพหรือพระศพ แสดงเป็นมหรสพสมโภชเช่น ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และแสดงเป็นมหรสพเพื่อความบันเทิงในโอกาสทั่ว ๆ ไป นิยมแสดงเพียง 3 ประเภทคือ โขนกลางแปลง โขนหน้าจอและโขนฉาก สำหรับโขนนั่งราวหรือโขนโรงนอกไม่นิยมจัดแสดง เนื่องจากเป็นการแสดงโขนที่มีแต่บทพากย์และบทเจรจาเท่านั้น ไม่มีบทร้อง ใช้ราวไม้กระบอกแทนเตียงสำหรับนั่ง และโขนโรงในซึ่งเป็นศิลปะที่โขนหน้าจอนำไปแสดง แต่เดิมไม่มีองค์ประกอบจำนวนมาก ต่อมาภายหลังเมื่อมีความต้องการในการแสดงมากขึ้น โขนจึงมีวิวัฒนาการพัฒนาเป็นลำดับ แบ่งเป็น 5 ประเภทคือ
1.โขนกลางแปลง
2.โขนนั่งราว
3.โขนโรงใน
4.โขนหน้าจอ
5.โขนฉาก
นอกจากประเภทของโขนต่าง ๆ ทั้ง 5 ประเภทแล้ว ยังมีการแสดงโขนนอกตำราที่ทางกรมศิลปากรไม่จัดให้รวมอยู่ในประเภทของโขน ได้แก่
1.โขนนอกตำรา
1.1.โขนสด
1.2.โขนหน้าไฟ
1.3.โขนนอนโรง
1.4.โขนชักรอก


การแต่งกายของโขน

 แบ่งออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายมนุษย์เทวดา(พระ นาง) ฝ่ายยักษ์ ฝ่ายลิง (เชิญคลิกดูภาพ)

การแต่งกายของตัวพระ

1. กำไลเท้า  
2. สนับเพลา 
 3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรียกว่า ภูษา หรือพระภูษา  
4. ห้อยข้าง หรือเจียระบาด หรือชายแครง
5. เสื้อ ในวรรณคดีเรียกว่า ฉลององค์  
6. รัดสะเอว หรือรัดองค์  
7. ห้อยหน้า หรือชายไหว  
8. สุวรรณกระถอบ
9. เข็มขัด หรือปั้นเหน่ง  
10. กรองคอ หรือ นวมคอ ในวรรณคดีเรียกว่า กรองศอ  
11. ตาบหน้า หรือ ตาบทับ ในวรรณคดีเรียกว่า ทับทรวง  
12. อินทรธนู  
13. พาหุรัด  
14.สังวาล  
15. ตาบทิศ  
16. ชฎา  
17. ดอกไม้เพชร(ซ้าย)
18. จอนหู ในวรรณคดีเรียกว่า กรรเจียก หรือกรรเจียกจร  
19.ดอกไม้ทัด(ขวา)  
20. อุบะ หรือพวงดอกไม้(ขวา)
21. ธำมรงค์  
22. แหวนรอบ  
23.ปะวะหล่ำ 
 24. กำไลแผง ในวรรณคดีเรียกว่า ทองกร





การแต่งกายนาง

 1. กำไลเท้า  
2. เสื้อในนาง 
 3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรียกว่า ภูษา หรือพระภูษา 
 4. เข็มขัด  
5. สะอิ้ง 
 6. ผ้าห่มนาง
7. นวมนาง ในวรรณคดีเรียกว่า กรองศอ หรือสร้อยนวม 
 8. จี้นาง หรือ ตาบทับ ในวรรณคดีเรียกว่า ทับทรวง
9. พาหุรัด  
10. แหวนรอบ  
11. ปะวะหล่ำ  
12. กำไลตะขาบ  
13. กำไลสวม ในวรรณคดีเรียกว่า ทองกร
14. ธำมรงค์  
15. มงกุฎ  
16. จอนหู ในวรรณคดีเรียกว่า กรรเจียก หรือกรรเจียกจร  
17. ดอกไม้ทัด (ซ้าย)
18. อุบะ หรือพวงดอกไม้ (ซ้าย)






การแต่งตัวของยักษ์

1. กำไลเท้า  
2. สนับเพลา  
3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรียกว่า ภูษา หรือพระภูษา  
4. ห้อยข้าง หรือเจียระบาด หรือชายแครง
5. ผ้าปิดก้น หรือห้อยก้น อยู่ข้างหลัง  
6. เสื้อ ในวรรณคดีเรียกว่า ฉลององค์  
7. รัดสะเอว หรือรัดองค์ หรือรัดพัสตร์
8. ห้อยหน้า หรือชายไหว  
9. เข็มขัด หรือปั้นเหน่ง  
10. รัดอก หรือรัดองค์ ในวรรณคดีเรียกว่า รัดพระอุระ  
11. ตาบหน้า หรือ ตาบทับ ในวรรณคดีเรียกว่า ทับทรวง  
12. กรองคอ หรือ นวมคอ ในวรรณคดีเรียกว่า กรองศอ  
13. ทับทรวง
14.สังวาล  
15. ตาบทิศ  
16. แหวนรอบ  
17. ปะวะหล่ำ  
18. กำไลแผง ในวรรณคดีเรียกว่า ทองกร  
19. พวงประคำคอ
20. หัวโขน ในภาพนี้เป็นหัวทศกัณฐ์  21. คันศร
บรรดาพญายักษ์ตัวสำคัญอื่นๆ ในเรื่องโขนก็แต่งกายคล้ายกันนี้ ต่างกันแต่ละสีและลักษณะของหัวโขน











การแต่งกายของลิง

1. กำไลเท้า 
 2. สนับเพลา 
 3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรียกว่า ภูษา หรือพระภูษา  
4. ห้อยข้าง หรือเจียระบาด หรือชายแครง
5. หางลิง 
 6. ผ้าปิดก้น หรือห้อยก้น   
7. เสื้อ แต่ในที่นี้สมมติเป็นขนตามตัวของลิง 
 8. รัดสะเอว 
 9. ห้อยหน้า หรือชายไหว
10. เข็มขัด หรือปั้นเหน่ง  
11. กรองคอ หรือ นวมคอ  
12. ทับทรวง  
13. สังวาล  
14. ตาบทิศ 
15. พาหุรัด ตามปกติเย็บติดไว้กับเสื้อ ซึ่งสมมติเป็นขนตามตัวของลิง  
16. แหวนรอบ  
17. ปะวะหล่ำ  
18. กำไลแผง หรือทองกร  
19. หัวโขน ในภาพนี้เป็นหัวหนุมาน  
20.ตรี (ตรีเพชร หรือหตีศูล)
  บรรดาวานรตัวสำคัญอื่นๆ ในเรื่องโขนก็แต่งกายคล้ายกันนี้ ต่างกันแต่ละสีและลักษณะของหัวโขน
นอกจากจะแตกต่างกันที่เครื่องสวมศีรษะ สีหน้า และสีกายแล้ว ลิงยังแตกต่างกันที่ลักษณะของปากอีกด้วย































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น